ละครใน เรื่องอิเหนา
ขอบคุณภาพสวยๆจาก
ความเป็นมา
อิเหนา เป็นวรรณคดีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งชาวชวาได้แต่งขึ้นเอเฉลิมพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์ ชวาพระองค์นี้ทรงนำความเจริญให้แก่ชาวชวา ซึ่งพระองค์เป็นทั้งนักรบ นักปกครอง และพระองค์ทรงมี พระราชธิดา ๑ พระองค์ และพระราชโอรส ๒ พระองค์ เมื่อพระราชธิดาของพระองค์ได้ทรงเสด็จออกผนวช จึงได้แบ่งราชอาณาจักรเป็น ๒ ส่วน คือกุเรปัน และ ดาหา
ต่อมาท้าวกุเรปันได้ทรงมีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง และท้าวดาหาทรงมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ซึ่งทั้งสองพระองค์มีพระนามว่า อิเหนาและบุษบา เมื่อเจริญพระชันษา อดีตพระราชธิดาของกษัตริย์พระองค์เดิมที่เสด็จออกผนวช จึงมีพระดำริให้อิเหนาและบุษบาอภิเษกกัน เพื่อให้กุเรปันและดาหากลับมารวมกันเป็นราชอาณาจักรเดียวกันดั่งเดิม
เนื่องจากนิทานอิเหนาเป็นเรื่องราวที่ได้รับความนิยมจากชาวชวาเป็นอย่างมาก เนื้อเรื่องจึงปรากฏเป็นหลายสำนวน และเมื่อได้เข้ามาสู่ประเทศไทย มีคำกล่าวสืบเนื่องกันมาว่าพระราชิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับเจ้าฟ้าสังวาล คือ เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎได้ฟังนิทานอิเหนาจากนางกำนัลชาวมลายูที่ได้มาจากเมืองปัตตานี พระราชธิดาทั้งสองพระองค์จึงมีพระราชธิดาจึงมีพระราชนิพนธ์ขึ้นนิทานเรื่องนี้ขึ้น เจ้าฟ้ากุณฑลทรงนิพนธ์บทละครเรื่องของดาหลัง ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎทรงนิพนธ์เป็นละครเรื่อง อิเหนา แต่คนทั่วไปมักเรียกบทพระราชนิพนธ์ของทั้งสองพระองค์นี้ว่า อิเหนาใหญ่ และอิเหนาเล็ก นิทานปันหยีของไทยจึงมี ๒ สำนวนแต่นั้นมา
สมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร อิเหนา ขึ้น โดยยังคงเค้าโครงเรื่องเดิม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชนิพนธ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เนื่องจาก เนื้อความเข้ากันไม่สนิทกับบทเมื่อครั้งกรุงเก่าและนำมาเล่นละครได้ไม่เหมิจึงทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ให้สั้นและสอดคล้องกับท่ารำโดยรักษากระบวนการเดิม แล้วพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิทักษ์มนตรีซึ่งเชี่ยวชาญในการละคร ได้นำไปประกอบท่ารำและฝึกซ้อมจนเห็นสมควรว่าดี แล้วจึงรำถวายให้ทอดพระเนตรเพื่อให้มีพระบรมราชวินิจฉัยอีครั้งเป็นอันเสร็จ
เนื้อเรื่อง
ท้าวกะหมังกุหนิงปราศรัยกับระตูปาหยังและท้าวปะหมัน
เมื่อนั้น ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
เสด็จเหนือแท่นรัตน์มณี ภูมีเห็นสองอนุชา
จึงตรัสเรียกให้นั่งร่วมอาสน์ สำราญราชหฤทัยหรรษา
แล้วปราศรัยระตูบรรดามา ยังปรีดาผาสุกหรือทุกข์ภัย
ซึ่งเราให้มาในทั้งนี้ จะไปตีดาหากรุงใหญ่
ระตูทุกนครอย่านอนใจ ช่วยเราชิงชัยให้ทันการ
ฯลฯ
ท้าดาหาเสด็จออกรับทูตกะหมังกุหนิง
เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพดาหา
ครั้นสุริย์ฉายบ่ายสามนาฬิกา ก็โสรจรงคงคาอ่าองค์
ทรงเครื่องประดับสรรพเสร็จ แล้วเสด็จย่างเยื้องยูรหงส์
ออกยังพระโรงคัลบรรจง นั่งลงบนบัลลังก์รูจี
ยาสาบังคมบรมนาถ เบิกทูตถือราชสารศรี
จึงดำรัสตรัสสั่งไปทันที ให้เสนีนำแขกเมืองมา
ฯลฯ
ท้าวกุเรปันมีราชสารถึงอิเหนาและระตูหมันหยา
เมื่อนั้น องค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่
ครั้นดะหมังเสนาทูลลาไป พระตรึกไตรในคดีด้วยปรีชา
แล้วตรัสแก่กะหรัดตะปาตี อันสงครามครั้งนี้เห็นหนักหนา
จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจอนุชา ไม่มีที่จะปรึกษาหารือใคร
เจ้าจงยกพลขันธ์ไปบรรจบ สบทบทัพอิเหนาให้จงได้
ชวนกันยกรีบเร็วไป อย่าทันให้ปัจจามิตรติดพารา
ฯลฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น